ชมรมรถถีบโบราณจันทบูร..ถีบ-ทุกข์-ทิ้ง-ทั่ว-ถิ่น-ทาง-ไท
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

3 posters

Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Wed Mar 11, 2009 9:17 am

สาส์นฉบับนี้เป็นสาส์นฉบับแรกที่เขียนโดยผม เป็นทริปที่ไป "สวนสมเด็จ" ตามคำเชิญของ อ.เชิงชาย ทริปนี้มีความสำคัญคือ เป็นทริปเล็กๆมีไปไม่กี่คน ประกอบด้วย ท่านเล็ก พี่บวร อ.ตั้ม ลุงจิ๋ว พี่ประดิษฐและผม เป็นทริปแรกที่พี่ประดิษฐ ได้ร่วมทริปไปกับพวกเรา ของเชิญอ่านกันครับ

สาส์นรถถีบ
บรรจบมาอีกครั้งในรอบสัปดาห์ที่พวกเรานัดชุมนุมกัน ในคราวนี้ผม(เต้) ได้รับภาระในการเขียนสาส์นฉบับนี้ คือใน วันที่ 25 พ.ค. 51 ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน กับอีกสี่สิบเจ็ดนาที เป็นเวลาที่คนปกติส่วนใหญ่นอนหลับพักผ่อนกันหมดแล้ว ยังคงมีผมนี่แหละยังไม่หลับไม่นอน มานั่งเขียนสาส์นให้ชาวสมาชิกรู้ความเป็นไปของแต่ละการเดินทางและบันทึกไว้เป็นประหนึ่งจดหมายเหตุของชมรม เมื่อเขียนถึงการเดินทางแล้วพราง ให้คิดถึงบทเพลงหนึ่งของ “วงกัมปะนี” เพลงนั้นมีชื่อว่า “นักเดินทาง” เป็นเพลงที่ผมชอบมาก ท่อนหนึ่งในเพลงร้องไว้ว่า “จากทางไกลที่ได้เดินมาสู่เวลาที่เดินไป ไม่มีหนทางใดที่จะนำวันนั้นหวนคืนมา เก็บความจริงในการค้นหาเป็นบันทึกล้ำค่าและยิ่งใหญ่ เขียนเรื่องราวเอาไว้ในใจตลอดเวลา “ การเดินทางเป็นการบันทึกความจริงผ่านร้อยเท้า(รอยล้อ) ที่เราเคยเดินผ่านมันไป และเก็บเกี่ยวมันกลับมาเป็นประสบการณ์ ที่รอวันตกตะกอนมาให้เราได้ใช้และคิดถึงมันไม่ว่าจะร้ายดีอย่างไรก็ตาม ว่าครั้งหนึ่งเราเคยก้าวข้ามและผ่านมันมาไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือ น้ำตา สุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “อ่านหนังสือหมื่นเล่ม มิเท่าเดินทางพันลี้” อย่างไรเราก็มิอาจหนีการเดินทางได้พ้น วันสุดท้ายของการเดินทาง วันนั้นนั้นคือวันสุดท้ายของลมหายใจ เพราะการเดินทางของชีวิตจะจบลงเมื่อชีวิตเราจบไป นอกเรื่องมาซะไกล เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ เช้าที่ไม่สดใสของวันนี้เกิดเพราะความไม่สดชื่นของชีวิตผมเอง เพราะเมื่อคืนเล่นดื่มไปซะ 1 กลม กับ 4 ขวด(4 ขวดนี้กับช่างเล็กครับมันก็ดื่มด้วย) สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมฉันใด ผมย่อมเป็นไปตามกรรมฉันนั้น เมื่อรับปริมาณแอลกอฮอล์มามากจึงทำให้ระบบในร่างกายแปรผันไป เพราะเสียน้ำในร่างกายไปมาก เรียกกันง่ายๆว่า “โอเวอร์แฮงค์” นั่นแหละครับ ผมนัดกับเล็กไว้ 9 โมงเช้า แต่ผมตื่น 8 โมง 40 ตื่นมาพร้อมกับหัวที่หนักๆ และมึนๆ ยังไม่สำนึกครับยัง เปิดคอมเล่นเน็ตต่อครับ ทั้งๆที่จะ9โมงอยู่รอมร่อแล้ว เล่นซักพักด้วยอาการมึนๆ ได้โทรไปหาเล็ก แต่พี่ขวัญชัย(เพชรร้อยเอ็ด)รับสาย คุยกันนิดนึงว่าเล็กพร้อมแล้ว แต่ผมยังไม่พร้อมนี่เลยโอ้เอ้ต่อ และยังไม่สำนึก หลังจากที่วางสายกับพี่ขวัญ งานเข้าอีกมีปัญหาเล็กน้อยกับการจัดเวลาของที่ทำงาน พาลหงุดหงิด เลยนอนต่อ และยังไม่สำนึก จนเล็กโทรมาเร่งตอนเกือบ10โมง ผมบอกเล็กไปว่ามึงไปเหอะ แต่นอนไปอีกยังไม่ทันชั่วหมากแหลก(หมากลุงจิ๋ว) เกิดสำนึกเลยโทรไปบอกเล็กว่าเดี๋ยวกูตามไป เลยรีบไปเสร็จสรงทรงชำระพระวรกาย ของตัวเองที่หมักหมม มาแต่เมื่อคืนให้สิ้นเสร็จ แล้วรีบจรรี ตามไปด้วยความไวเท่านกเขาเหิน (ตรงนี้อย่าคิดลึกนะครับคำนี้เป็นคำโบราณใช้กันจริงๆครับ แต่เค้าใช้กับความสูง แต่ผมจะเอามาใช้กับความเร็วคงไม่ผิดนะครับ) ออกมาหน้าปากซอยบ้านรอรถ 2 แถวเพื่อไปบ้านเล็กเพราะผมเอา เวสป้าไว้บ้านเล็กกะว่าขากลับจะขี่กลับ วันนี้ดูเหมือนจะโชคดี รถ 2แถวจากที่เคยรอนานมาก จนเคยนึกว่ามันยังมีบริการประชาชนอยู่หรือป่าวว่ะ มันมาเร็วเป็นพิเศษ ในใจเลยคิดว่าคงทันเล็ก เพราะเล็กบอกว่าจะปั่นไปรับลุงจิ๋วที่หนองบัว เมื่อลงรถที่บ้านเล็กยังใจชื้นอยู่เห็น มิยาต้า (อ่านกันดีๆนะครับคำนี้ มิยาต้า ครับเป็นยี่ห้อจักรยานของญี่ปุ่นนะครับ ไม่ใช่ มิยาบิที่เป็นดาวโป๊ของญี่ปุ่น ถ้าเล็กมีมิยาบิผมคงยืมขี่ทุกวันแน่ๆครับ) มิยาบิ เอ้ย มิยาต้าคันที่ว่า เห็นเล็กบอกจะเอามาขี่วันนี้ ทีแรกเลยนึกว่าทัน ที่ไหนได้พอเดินไปถึงบ้านเล็ก แม่เล็กบอกว่า มันไปแล้วไปรับลุงจิ๋วจะขี่ไปด้วยกัน อ้าวเวรละซิ ผมพอตั้งสติได้ก็สตาร์ทเลย นำโรบินฮู้ด คู่บารมีออกว่า จับดูยางเห็นยังแข็งดีอยู่เลยรีบฮ้อตามออกมา หวังว่าคงทันที่บ้านลุงจิ๋ว ปั่นมาได้ซักช่วงแถวๆปากทางสามผาน ได้มีรถโตโยต้า กระบะ4ประตูคันหนึ่งแซงหน้าขึ้นไป และหยุดรถอย่างสงบ มีชายผู้หนึ่งเปิดประตูก้าวย่างออกมาอย่างสง่างาม เขาคนนั้นคือ ขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด นักร้องเพลงลูกทุ่งสายเลือคอีสานนั้นเอง อ๋อไม่ใช่ครับ พี่ขวัญของเรานั้นเอง เมื่อลงจากรถแล้วพี่ขวัญได้กล่าวถ้อยคำอันซึ้งใจผมอย่างยิ่ง ณ.เวลานั้น “เดี๋ยวพี่ไปส่ง” โอ้วววววพระเจ้าเหมือนเทพบุตรมาโปรด ผมไม่ตอบอะไรซักคำ ยกรถจักรยานขึ้นรถทันที ต่อให้พี่ขวัญจะบอกว่าล้อเล่นก็เหอะ ไม่สนใจอะไรแล้ว แฮ้งก็แฮ้งหิวก็หิว ยังต้องมาปั่นจักรยานทางไกลอีก เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยทั้งคนทั้งรถพี่ขวัญกับผมไปจุดแรกที่คิดว่าน่าจะทันคือบ้านลุงจิ๋ว และก็ผิดหวังลุงจิ๋วกับเล็กออกกันไปแล้ว ผมเลยโทรหาเล็กอีกรอบเมื่อได้พิกัดตามเส้นรุ้งแวงตะแคงหงายเป็นที่เรียบร้อย พี่ขวัญได้พาผมเข้าซอยโน้นออกซอยนี้จนผมเริ่มงงในชีวิต เพราะไม่เคยคุ้นกับทางซอยแถวท่าใหม่มากนัก พี่ขวัญยังสำทับอีกว่าไม่ต้องกลัวหลงพี่เด็กท่าใหม่ ยังไงไม่ทราบผมกับพี่ขวัญ เหมือนจะแซงหน้าเล็กกับลุงจิ๋วไปไกลแล้ว เลยต้องโทรหาพิกัดกันใหม่ จนมาเจอกันในถนนซอยแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปเลย ลุงจิ๋วก็พาเล็กปั่นมาตามทางซอยเช่นกัน ผมเลยถึงบางอ้อ คนท่าใหม่แท้ๆเค้าชอบซอย เอ้ยใช้เส้นทางในซอยนี่เอง ทั้งเด็กท่าใหม่และผู้ใหญ่ท่าใหม่นับเนื่องได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนท่าใหม่ เมื่อประสพพบเจอและทักทายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เริ่มปั่นกันต่อ โดยพี่ขวัญรีบแยกไปทำหน้าที่เช่นกัน ผมนึกภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย มยุรธุช เมื่อ Mon Mar 16, 2009 9:29 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Wed Mar 11, 2009 9:18 am

ตัวเองว่าไม่เจอพี่ขวัญคงแย่แน่ๆเลย การปั่นของผมในช่วงแรกไม่สนใจใครมากนัก ปั่นไปก็อยากจะอ้วกไปเพราะกรรมแต่เมื่อคืนเริ่มทำพิษ เรามาจนถึงที่นัดหมายฐานที่มั่นสะพานขาว มีพี่บวรประธานของเรารออยู่กับพี่ดิษ วันนี้พี่ดิษมิได้ปั่นจักรยานมาอย่างเคย แต่ควบ ฮอนด้า ซีเอ็ม 90 กะโหลกใหญ่ไฟตกมาด้วยสีเขียวทหารเข้มๆ มีวินชิวอันเล็กๆประดับอยู่เหนือไฟหน้าไม่ให้ดูเลี่ยนเกินไป สวยมากครับแต่ยังไม่ได้พิจารณามากนัก ไม่กล้าพิจารณามากเดี๋ยวเกิดปากบอนวิจารณ์ พี่ดิษจะประจานผมด้วยแข้งก็เท่านั้น ทักทายกันเป็นที่เรียบร้อยตามมารยาทแล้วครับ ผมเริ่มอยากรู้แล้วว่ามารยาทนี่มันเป็นใครกันหนอทำไมเราต้องทักทายตามมันด้วย เห็นมีแต่คนว่าทักทายตามมารยาท ทักทายกันตามมีตามเกิดก็ไม่ได้ดูไม่เหมาะ ช่างมันให้ผมคิดต่อคนเดียวคงดีกว่า ได้พูดคุยเม้าโม้ซักพักได้ความว่ารอครูตั้ม ครูตั้มไปเคลียร์เด็ก ตอนแรกก็แปลกใจว่าไปเคลียร์เด็กส่วนตัว หรือเด็กอะไรหว่า พอคุยเสร็จเลยรู้ว่าไปเคลียร์เด็กเรื่องสมัคร ร.ด.ที่ บ.ส.(ฟังงงๆแฮะ) อ๋อเป็นงี้เองผมก็คิดเลยเถิด วันนี้รู้เรื่องเกี่ยวกับครูตั้มเพิ่มเติม ว่าครูตั้มมีตำแหน่งใหญ่โตอีกตำแหน่งคือเป็นผู้กำกับ แต่เป็นผู้กำกับลูกเสือนะครับ ใครอย่าเข้าใจผิดเอาไปเบ่งผิดนะครับเดี๋ยวจะเป็นเรื่องต่อให้ครูตั้มเองคงช่วยอะไรไม่ได้ เพิ่งมาสังเกตลุงจิ๋วเรานั้นเองวันนี้แต่งตัวเข้าท่ามาก อืมคงใช้คำผิดลุงจิ๋วไม่ใช่เรือเข้าท่าคงไม่เหมาะ เอาเป็นว่าหล่อละกันครับ นึกภาพตามนะครับ ใส่หมวกกะโล่ แว่นกันแดดแบบเมททริต เสื้อชมรมสีเขียวทหาร ทับเรียบร้อยในกางเกงสีเขียวทหารสามส่วนเช่นกัน ถุงเท้ารองเท้าสง่างาม แต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ประจำตัว ต้องเคี้ยวหมากกับดูดยาไม่ทำ 2 อย่างหลังสาวไม่แล วันนี้ลุงจิ๋วมาโดยจักรยานคู่ชีพคันเดิมแต่ที่หน้าสนใจคือกะบะไม้ด้านหลังรถ ครั้งแรกผมหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าน่าจะมีสมบัติจะเอามาแบ่งคนในชมรมเพราะ ลุงจิ๋วเคยบอกว่ารักคนในชมรมนี้มาก เอาล่ะซิวันนี้คนมาน้อยด้วยส่วนแบ่งคงเยอะ แต่ไม่ใช่ครับเปิดมา มีเครื่องชูกำลัง กับเครื่องตัดกำลังตามสำนวนพี่บวร มีน้ำดื่ม หมาก(ขาดไม่ได้เด็ดขาด) เครื่องมือซ่อมรถ อดเลยผม แต่วันนี้ลุงจิ๋ววันนี้แต่งตัวดีจริงๆครับ ตอนแรกผมนึกว่ายุวชนทหารมาเอง ส่วนคนอื่นไม่อยากบรรยายครับ อีตาท่านประธานเราเชยยังไงก็เชยอย่างนั้นรักซะจริงไอ้ผ้าขาวม้าผืนนั้นน่ะ หนุ่มกว่าลุงจิ๋วตั้งเยอะวันนี้มายืนเทียบกันลุงจิ๋วกินขาด...ขำๆนะครับ คุยไปโม้ไปรอครูตั้มไป รอพี่ดิษไปเปลี่ยนรถ เลยรู้ว่าวันนี้มากัน 6 คน พี่ขวัญติดงาน เจไปส่งแม่ พี่เขมไปส่งแม่ อ.หลีไปเลี้ยงรุ่น เรื่องรุ่นของ อ.หลีนี้ผมหวั่นใจจริงๆกลัว อ.หลีไปแล้วจะเหมือนในโฆษณาพรานทะเล ที่ไปเต้นรำ ดื่มฉลองอยู่คนเดียว เพราะช่วงหลัง อ.หลี ท่านแข็งแรงมากเชื่อว่า อ.คงแข็งแรงกว่าเพื่อนร่วมรุ่นแน่ๆ เป็นเพราะการปั่นจักรยานนี่เอง พี่เสรีติดตัดทุเรียน หมาติดหญิงเอ้ยติดแฮ้งค์ บาสติดเอ เอ้ยติดงานสวน น้องคนอื่นๆมีธุระกันก็ว่ากันไป โดยเฉพาะพี่หมอปี้ มาได้ทุกทริป ทริปนี้ดันติดธุระ เราก็เก้อเลยอุตส่าห์ใส่เสื้อชมรมที่พี่หมอให้มาเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว มาใส่โชว์คนให้ซะหน่อยไม่มาซะได้ จะโม้หน่อยว่าผมใส่ดูเท่ห์กว่าพี่หมอตั้งเยอะ ให้คนให้เสียดายเล่นเลยอดเลย ขณะนี้เวลาก็เลยล่วงเกือบตี 3 แล้ว ไม่ไหวครับขอนอนก่อนครับ พรุ่งนี้เดี๋ยวจะตื่นมาเขียนให้อ่านกันต่อ
ขณะนี้เวลา9โมงเช้า หลังจากที่ทำภารกิจตอนเช้า นำเข่งเงาะไปให้คนงานที่สวน เอารถที่บ้านไปซ่อมเรียบร้อย ก็รีบมานั่งเคาะแป้นพิมพ์ให้ได้อ่านเอาเรื่องคงไม่ต้องเอาราวก็ได้มั้งครับ ต่อกันเลยครับหลังจากที่รอกันไม่นานมาก โม้กันไปโม้กันมา แซวคนโน้น คนนี้ คุยเรื่องเหล้าบุหรี่จนถึงหมากลุงจิ๋ว เข้าเรื่องธรรมมะที่ผมไม่กระดิกหู พี่บวรได้ชวนไปปฏิบัติธรรมเลิกเหล้าถามว่าใครจะไปมั่ง ผมกับเล็กรีบยกมือทันที ไม่ใช่ยกว่าจะไปนะครับ ยกเพราะจะบอกเลยว่าไม่ไป ยังอยากกินเหล้าเอาถ้วยอยู่ เวลาก็ได้ผ่านไปครูตั้มปรากฏตัวพร้อมด้วยฟิลลิปคู่ใจบนหลังรถกระบะ แต่ยังไม่ทันได้ขี่เลยเจ๊งซะแล้ว ชุดกำลังขับเคลื่อนหลังมีปัญหานิดหน่อย แต่ไม่เกินความสามารถ ช่างเล็กไปได้ เมื่อรถพร้อมคนก็พร้อม คือพร้อมไปกินข้าวกันก่อน เรื่องร้านที่กินเราตามใจ ช่างเล็ก ว่าจะไปกินร้านพี่วัฒน์ ไม่รู้ติดใจอะไร เอ้าไปก็ไป เราเสียเวลาที่ร้านพี่วัฒน์นานไปนิด เพราะมาเป็นเวลาเกือบเที่ยงคนก็เยอะเพราะแฟนพี่วัฒน์ทำอาหารอร่อย กินไปก็บ่นกันไปตามเรื่องตามราว เผลอไปแป๊ปเดียว เล็กไปลงคาถาพ่นใส่พี่วัฒน์ ท่าไหนไม่ทราบได้หลวมตัวซื้อเสื้อชมรมไป 1 ตัวตามระเบียบ แหม..สมฉายาขุนแผนสาลิกาลิ้นทองเลยทีเดียว หลังจากเสร็จสรรพเรียบร้อยมาดูเวลากันคงปั่นไปไม่ทันกันแน่ๆ เลยตกลงกันว่าจะนำรถจักรยานทั้งหมด ขึ้นรถ ครูตั้ม ไปลงที่ปากทางจุดหมายที่เราจะไป แล้วปั่นกันต่อไป วันนี้เรามีการเปลี่ยนแปลงที่หมายกันเล็กน้อยจาก เมืองเพนียด วัดทองทั่ว ไปสวนสมเด็จฯ ส่วนในพระองค์ของในหลวง เพราะวันนี้ อ.เชิงชาย ผู้ดูแลสวนแห่งนี้ท่านว่างพอดี เมื่อโหลดรถขึ้นรถกันเรียบร้อยเราทั้งหมดก็นั่งเบียดๆกันไปในรถ ครูตั้ม และเริ่มเปิดประชุมในห้องแอร์ทันที(แอร์รถยนต์) ประเด็นไม่มีอะไรมากมายคุยกันเรื่อยๆสนุกๆ เมื่อถึงปากทางเข้าสวนสมเด็จฯ ซึ่งอยู่ที่ชำปรง เลยชำโสม ไปนิดหน่อยเราหาที่จอดรถได้และฝากรถไว้ที่ ร้านของชำของเจ้หน้าปากทางนั่นเอง เมื่อฤกษ์ได้เวลาดี เรา


แก้ไขล่าสุดโดย มยุรธุช เมื่อ Mon Mar 16, 2009 9:30 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Wed Mar 11, 2009 9:18 am

เริ่มปั่นกันอีกครั้ง ไม่อยากจะเล่า ขาเข้าสนุกมากครับลงเนินอย่างเดียวปล่อยฟรีแข่งกันกระจาย แซงกันไปแซงกันมาสนุกสนาน แต่ผมเริ่มคิดถึงอนาคตข้างหน้าขากลับกูตายแน่ๆปั่นขึ้นเนินอย่างเดียว เลยคุยกับพี่บวรว่าขามาใช้ฟรี ขากลับใช้แรงใครแรงมันละกัน พี่บวรยิ้มๆคงนึกหวั่นใจเหมือนกันละซิ ทางเข้าจากปากทางไปสวนสมเด็จประมาณ 5 กิโลฯ ทางพอใช้ครับร่มรื่นดี ขี่กันไปเรื่อยๆ แซวเล่นกันไป มีพี่ดิษยังไม่ค่อยเอยเอื้อนวาจาเท่าทีควรสงสัยยังเขินๆอยู่ ลุงจิ๋วของเราแรงดีเช่นเดิมแทบไม่เห็นเหงื่อลุงจิ๋วเลย มีทางบางช่วงข้างทางเป็นสวนยางลมพัดมาเบาๆช่วงนี้ยางเริ่มผัดใบใบยางปลิวว่อนตามแรงลม พอขุนแผนเราพรางคิดไปนู่นเลย ว่าเหมือน เอ็ม.วี. สงสัยจะโรแมนติกหนัก ปั่นกันมาได้ซักพักใกล้ถึงที่หมายแล้ว ได้เกิดเหตุการณ์ชิ้นส่วนกระเด็นกขึ้น ยางเบรครถ ครูตั้มครับมันน้อยใจในหน้าที่ที่ใช้งานมันหนัก มันเลยคิดสั้นชิงโดดมาจากรถฆ่าตัวตายไปซะอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรครับไปเก็บศพมันกลับมาเผื่อจะเรียกชีวิตมันกลับมาได้ ปั่นไปอีกเดี๋ยวแป้นจับยางเบรคได้ตัดสินใจตายตามกันเพราะมันคงจะรู้ว่าไม่มียางเบรค แล้วอยู่ไปก็ไร้ความหมาย แต่เราก็ไปเก็บมันกลับมาเยี่ยงทหารหาญที่ตายในหน้าที่เช่นกัน
เมื่อถึงที่หมายพูดคุยกับพี่หทารที่ดูแลสวนแห่งนี้เรียบร้อย ครูตั้มกับเล็ก เริ่มซ่อมเบรกทันที ครูตั้มพยายามช่วยชีวิตเบรคอันเก่า แต่เล็กบอกอาการสาหัสเกินไปเปลี่ยนใหม่ดีกว่า แต่ไหนๆก็เปลี่ยนแล้วเลยเปลี่ยนทั้งสองข้างเลยยางเบรคของเก่าอีกข้างเลย พลอยสิ้นสุดหน้าทีไปกันด้วย ซ่อมกันพักนึงครับผมยืนมองเฉยๆเข้าไปช่วยก็เกะกะป่าวๆ รู้หน้าทีตัวเองดี เห็นมีตะกร้อกลิ้งอยู่ 2 ลูกเลยเอามาเตะเล่นแก้กลุ้มอีกซักเดี๋ยวพี่บวรได้มาตามให้ไปปลูกต้นไม้กัน เอ้าปลูกก็ปลูก ทีแรกนึกว่าเราต้องขุดดินเองพี่บวรเลยหาจอบแถวนั้นไปเตรียมขุด ป่าวเลยครับพี่จ่าได้ใช้แทรกเตอร์มาเจาะหลุมขุดให้เรียบร้อย พี่บวรเลยเลยถือจอบมาเก้อ เราเริ่มปลูกต้นไม้ไป ผมก็ถ่ายรูปไป ปลูกเป็นคนสุดท้ายไม่แน่ใจว่ามันจะโตไหม เพราะจากปลูกถั่วงอก กับคะน้าตอนประถมยังไม่เคยปลูกต้นไม้จริงๆอีกเลย เคยแต่ปลูกต้นรัก ปลูกกี่ต้นๆแห้งตายหมดช่างมัน
เมื่อปลูกต้นไม้กันเรียบร้อย พี่ทหารยศนายสิบกว่าๆอาจได้เลื่อนยศในเร็ววัน ได้พาเราชมสวน พลางคิดไปว่าในเรื่องรามเกียรติ์ตอนทศกันณ์ชมสวน คงจะคล้ายเราแบบนี้เช่นกัน พี่นายสิบได้พาเราชมสวน ไปดูต้นเงาะ ดูหมูหลุม ไอ้เงาะนี่ก็คุ้นเคยกันดีแต่ไอ้หมูหลุมนะซิเป็นยังไง ช่างเล็กเลยถามไปว่าหมูหลุมมันคืออะไรผลไม้พันธุ์ใหม่หรือป่าว พี่นายสิบก็บอกหมูธรรมดานี่แหละแต่เลี้ยงในหลุมเอ้าว่ากันไป ระหว่างเห็นผลไม้หลายชนิดน่าเด็ดน่ากิน แต่ยังไม่กล้านักเพราะกลัวจะผิดแบบแผนปฏิบัติ จนพี่นายสิบบอกเก็บได้เลย ตามสบายเท่านั้นแหละสบายจริงๆ ช่างเล็กหอบซะคิดว่าจะเอาไปขายตั้งตัว พี่บวรก็ไม่แพ้กัน พรางคิดไปถึงสวนสเด็ดยาดไปนู่น ผมเอาแค่กระท้อนห่อไม่กี่ลูกเพราะอย่างอื่นก็เอือมๆแล้ว เห็นหน้ามันทุกวัน ครูตั้มเล่นเอากระท้อนไปแบบยังห่ออยู่เลยกลัวแม่บ้านจะไม่รู้ว่าห่อจริงๆ เดินไปคุยไปกับพี่นายสิบได้ความว่า สวนสมเด็จฯ นี้มีเนื้อที่109 ไร่ เป็นสวนผลไม้ 60 ไร่ ที่เหลือเป็นสวนยาง มีคนทูลเกล้าถวายเมื่อซัก30กว่าปีมาแล้ว เป็นสวนเกษตรชีวะภาพ ไม่ใช้สารเคมีในการทำสวน เลยทำให้รายละเอียดในการทำงานมีอยู่หลายขั้นตอน แต่มีคนดูแลอยู่น้อยมากไม่พอที่จะดูแล ทำให้ต้องปล่อยให้ผลไม้หล่นทิ้งเป็นปุ๋ยไปก็เยอะ เห็นแล้วเสียดายเล็กๆ ผมเลยถามว่าเอาไปขายบ้างไหม พี่นายสิบบอกก็มี มีทั้งนำไปขายเองเอาเงินส่งส่วนสายบังคับบัญชา และผลไม้บางส่วนได้นำเข้าไปถวายในวังฯ เลยรู้สึกดีใจนิดๆว่าเราเองมีบุญจริงๆได้กินผลไม้ต้นเดียวที่ได้ส่งไปในวังด้วย แอบหวังในใจว่าอาจมีซักต้นที่เราได้กินผลไม้ที่นี่ เป็นต้นเดียวกับที่ในหลวงท่านทรงเสวย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมคงปลื้มใจอย่างล้นพ้น ความอยากรู้ของผมยังไม่หมดสิ้น เลยถามพี่นายสิบต่อไปว่าตอนนี้เงาะราคาตกต่ำพี่เคยเอาไปขายประกันราคาหรือป่าว พี่นายสิบยิ้มและตอบว่าป่าวเลยครับขายก็แถวๆนี้ พอพูดถึงเรื่องประกันราคาแล้ว ทำให้ผมคิดถึงพี่น้องชาวสวน ซึ่งในชมรมเรามีอยู่หลายคน ช่วงนี้มีการประกันราคาเงาะกันกิโลฯ ละ 9 บาท ทำให้ต้องเร่งจัดการเกี่ยวกับสวนในช่วงประกันนี้ให้มากที่สุดรวมทั้งตัวผมเองด้วย บางทีคิดไปว่าการทำสวนทุกวันนี้มันช่างถอยหลังลงเหว ลงทุกทีๆ แต่เดิมเราไม่มีเครื่องมือเกษตรที่ดีพอ ต้องคอยฟ้าคอยฝนให้ตกลงมาเพื่อพืชผลที่ปลูกจะได้เจริญงอกงาม แต่พอเรามีเครื่องมือสมบูรณ์ ในยุคปัจจุบัน ยังต้องคอยการประกันราคาจากรัฐบาล ซึ่งในความจริงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนเลย ผมเคยคิดไปไกลว่าเราจะมีวิธีการยังไงกับการจัดการปัญหาตรงนี้ การประกันราคาคือเอาภาษีของประชาชนมารับซื้อ แต่เป็นเงินภาษีของทุกคน ไม่ใช่แค่เงินภาษีของชาวสวน คิดอย่างนี้ทำให้รู้สึกว่าเราเบียดบังเงินภาษีของคนอื่นมาเอื้อประโยชน์ต่อเราทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าที่ควรแต่ก็ต้องจัดการกันต่อไป จันทบุรีเป็นเมืองคนรวยแต่เพราะความเป็นคนรวยทำให้เราแย่ ที่จันฯ มีแต่ธุรกิจฟุ่มเฟือย เงาะ ทุเรียน ไม่กินก็ไม่ตาย แต่ข้าวไม่กินเราแย่แน่ เพชร พลอย ไม่มีก็อยู่ได้ เรามีแต่ทรัพยากรพวกนี้ล้นเหลือ แต่มันไม่จีรัง “เงินทอง


แก้ไขล่าสุดโดย มยุรธุช เมื่อ Mon Mar 16, 2009 9:30 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Wed Mar 11, 2009 9:19 am

เป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” อมตะวาจาที่เป็นสัจจะของ ม.จ.สิทธิพร กิติยากร พระบิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ของไทย หนึ่งในวีระบุรุษในดวงใจผมตลอดมาเป็นผู้กล่าวขึ้น มันทำให้สำนึกได้ว่า เงินทองเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่ได้สำคัญที่สุด นอกเรื่องมาไกลอีกแล้ว ชมสวนต่อดีกว่า ต่อไปเราไปดูหมูหลุมครับ อืมเห็นแล้วอึ้งเป็นหมูตัวเล็กน่ารักๆ 5-6 ตัว วัยกำลังน่ากินเลย อยู่ในคอกก่อปูน มันหลุมตรงไหนว่ะผมก็งง แต่ช่างมันหลุมก็หลุม เล่นกันมันพักนึง แกล้งมันมั่ง โดยเอากล้วยวางไว้ตรงที่มันกินไม่ได้แต่มันก็พยายามกิน ทำบาปพอสนุกมือก็เลิก ผมก็คิดได้ว่าไหนๆผลไม้เค้ายังให้เราเอาติดไม้ติดมือกลับไปได้ผมเลยเริ่มต่อลองกับพี่นายสิบว่าผมขอหมูในนี้ซักจานในรูปลาบหมูได้ใหมที่ผลไม้ยังให้ได้เลยพี่นายสิบได้แต่ยิ้มแหยๆ และได้พาไปดูพื้นที่ที่เตรียมจะทำนาข้าวเป็นการปิดท้ายในการชมสวน ลุงจิ๋วมีความสนใจอย่างมากในเรื่องพันธุ์ข้าวไร่ที่จะนำมาปลูกสมเป็นเกษตรกรตัวยง และได้แบ่งพันธุ์ข้าวไปทดลองปลูก ผมคงได้แต่รอข้าวลุงจิ๋วถ้าปลูกสำเร็จคงจะขอกินมั้ง
เมื่อเรากลับไปถึงบริเวณที่ทำการของสวนสมเด็จฯ ที่เราจอดจักรยานไว้ อ.เชิงชาย ได้มาพอดี เลยคุยกันเป็นเวลาพอสมควรได้รับความรู้มาก ทั้งเรื่อง สมุนไพร และหมอแผนโบราณ ที่น่าสนใจมีหมอเด่น ที่วัดสุทธิวารี เก่งทางด้านแก้พิษงู หมอสวัสดิ์ ที่ช้างข้าม เก่งทางด้านสับเส้น ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่เคยพบมาก่อน และได้ทราบว่า จ.จันทบุรีเองมีพืชสมุนไพรแปลกๆอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องโรคบาดทะยัก งูสวัด คุยกันเลยมาถึงเรื่อง ยาพิษ ยาสั่ง ซึ่งเรื่องยาสั่งนี้หลายคนยังคงเข้าใจว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ อ.เชิงชาย ได้กรุณาให้ความรู้ว่า ยาสั่งนี้ที่จริงเป็นยาพิษที่นำเข้าร่างกายโดยการกิน เช่น กินของไป 4 อย่าง เป็นพิษ 4 ชนิด ทั้ง 4 ชนิดเมื่ออยู่ในร่างกายเราจะไม่มีผลแต่อย่างใด จนวันใดวันหนึ่ง เราได้รับพิษชนิดที่ 5 ยาพิษทั้ง 4 ชนิดจะสำแดงพิษของมันออกมาทันที และท่านยังได้โชว์ สมุนไพรที่หายากยิ่ง คือ ”ชองระอา” ท่านเอามาให้ดูเป็นเหมือนไม้ท่อนเล็กๆ แต่มีแก่นในบางส่วนเป็นสีดำ ท่านให้ความรู้ว่าเป็นของแปลก หายากมาก เพราะแก่นไม่ส่วนใหญ่จะเป็นไม้ยืนต้น แต่นี่เป็นไม้เถา ช่างเล็กเกิดสนใจว่ามันเหมือน กฤษณา หรือป่าว ท่าน อ. บอกว่าไม่เหมือนคนละอย่าง ชองระอา นี่มีสรรพคุณทางล้างพิษทั้งมวล ที่เรียกชองระอา เพราะว่าชาวชองโบราณ เก่งทางการใช้พิษ แต่ ไม้ชนิดนี้ใช้ฝนละลายในน้ำสามารถแก้พิษของ ชอง ได้ทุกประเภทจนได้ชื่อว่า ชองระอา คุยกันจนเวลาล่วงเลย ท่าน อ. เชิงชายบอกกับเราว่าขอเวลาฟิตตัวซักพักจะมาปั่นกับเราแน่ พวกเราได้มอบเสื้อชมรมให้ อ.เชิงชาย เป็นที่ระลึก และกล่าวลา อ. เพื่อปั่นกลับกันต่อไป
การปั่นขากลับนี้โหดเอาเรื่องขึ้นเนินเกือบอย่างเดียว แถมยังบวกผลไม้ที่แบกกันมาอีก ช่างเล็กด้วยแล้วยิ่งหนักใหญ่ทั้งสัมภาระประจำรถ ผลไม้อีก แต่ในที่สุดเราก็ฟันฝ่ากันมาถึงปากทางจนได้ เมื่อถึงปากทางผมกับลุงจิ๋วมาถึงก่อน ลุงจิ๋วได้ชวนผม ให้ปั่นแยกกับพวกพี่บวร กลับตลิ่งทองจากตรงนี้เลยจะได้ไม่ลำบากเอาจักรยานขึ้นรถอีก ผมถึงกับอึ้งนึกในใจเอาจริงหรือลุงทำไมลุงอึดเยี่ยงนี้ เพราะแค่เมื่อกี้ก็จะแย่แล้วยิ่งนึกภาพปั่นถึงบ้านจะไหวหรือ แต่ด้วยชายชาตินักสู้ไม่ปริปากแย้ง ทั้งๆที่ใจบอกว่าไม่เอาแล้วตายแน่กู เลยเอาความไปบอกเล็ก เล็กบอกอย่างชายชาญว่าตามใจเหอะกูจะให้ ครูตั้มไปส่ง กูไม่ไหวแล้ว แค่นั้นแหละผมโล่งอกเลยรอดแล้วกู พักผ่อนให้หายเหนื่อยกันซักพัก พูดคุยกันเรื่อยๆให้หายเหนื่อย ก็ได้โหลดจักรยานขึ้นรถครูตั้มซึ่งในตอนแรกว่าจะเอารถลงที่ เขาไร่ยา แล้วเราปั่นต่อแต่ในที่สุด ครูตั้มเลยไปส่งพวกเราถึงเนินสูง เพราะกลัวจะเสียสมาชิกไป 2 คนโดยยังไม่ถึงเวลาอันควร 2 คนที่ว่าคือ ผม กับเล็ก ครับ ลุงจิ๋วไม่ใช่แน่ๆ เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่าลุงปั่นไปตลอดลอดฝั่งแน่ เราพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ให้หายเหนื่อยบนทางขึ้นเนินที่ปั่นร่วมกันมา คุยโน่นมั่งที่ไปตามเรื่องตามราว ตั้งแต่มดแดงขนไข่ จนหมาเห่าริมทาง พอได้เวลาอันสมควรแล้วพวกเราจึงช่วยกันขนรถจักรยานขึ้นรถ ครูตั้ม ครูตั้มได้มาส่งเราถึงเนินสูง ลงที่หน้าแผงขายต้นไม้ริมถนนสุขุมวิท ชื่อ แผงมะปรางพันธุ์ไม้ ตอนแรกเจ้เจ้าของแผงออกมาถามไถ่เราตามมารยาทที่ดีของแม่ค้าว่าต้องการพันธุ์ไม้อะไรบ้างบ้าง(ต้องตามมันอีกแล้วไอ้มารยาทเนี่ย) แต่พอเจ้แกเห็นรถถีบโบราณเท่านั้น แกรีบเดินกลับไปตามสามี แกออกมาดู เลยได้ความว่าสามีแกก็ชอบมีอยู่กนี่งคันอยากนำมาซ่อมแซมแต่ไม่รู้จะซ่อมที่ไหน คุยไปคุยมาโดนคาถามหาละลวย ของช่างเล็กอีก แทนที่ว่าเราจะซื้อพันธุ์ไม้ของเค้า เค้าต้องมาซื้อเสื้อชมรมเรา แล้วสมัครเป็นสมาชิก สุดท้ายมีการถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก เมื่อร่ำลากันพอสมควรอันแก่เวลาที่ รถพระมหาสุริยะเทพจะเคลื่อนคล้อย แปลงเปลี่ยนเป็น ทิวาวารในกาลอันใกล้ และคงไม่ต้องให้หนุมานมาฉุดรั้ง ดังพระลักษณ์ต้องหอกโมกข์ศักดิ์ พวกเราก็ได้แยกจากกันเสียที โดยผม เล็ก ลุงจิ๋ว ร่วมกันปั่นกลับนิวาศสถาน(บ้านใครบ้านมัน) ฝ่ายทางครูตั้ม พี่บวร พี่ดิษ ก็ได้จรลีกลับบนราชรถคู่บุญของครูตั้มเช่นกัน....เฮ้อเหนื่อย และผมขอจบหน้าที่คนเขียนสารฉบับนี้ลงแต่เพียงเท่านี้.......ขอให้โชคดีครับ


แก้ไขล่าสุดโดย มยุรธุช เมื่อ Mon Mar 16, 2009 9:31 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Wed Mar 11, 2009 9:21 am

มยุรธุช พิมพ์ว่า:สาส์นฉบับนี้เป็นสาส์นฉบับแรกที่เขียนโดยผม เป็นทริปที่ไป "สวนสมเด็จ" ตามคำเชิญของ อ.เชิงชาย ทริปนี้มีความสำคัญคือ เป็นทริปเล็กๆมีไปไม่กี่คน ประกอบด้วย ท่านเล็ก พี่บวร อ.ตั้ม ลุงจิ๋ว พี่ประดิษฐและผม เป็นทริปแรกที่พี่ประดิษฐ ได้ร่วมทริปไปกับพวกเรา ของเชิญอ่านกันครับ

สาส์นรถถีบ
บรรจบมาอีกครั้งในรอบสัปดาห์ที่พวกเรานัดชุมนุมกัน ในคราวนี้ผม(เต้) ได้รับภาระในการเขียนสาส์นฉบับนี้ คือใน วันที่ 25 พ.ค. 51 ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน กับอีกสี่สิบเจ็ดนาที เป็นเวลาที่คนปกติส่วนใหญ่นอนหลับพักผ่อนกันหมดแล้ว ยังคงมีผมนี่แหละยังไม่หลับไม่นอน มานั่งเขียนสาส์นให้ชาวสมาชิกรู้ความเป็นไปของแต่ละการเดินทางและบันทึกไว้เป็นประหนึ่งจดหมายเหตุของชมรม เมื่อเขียนถึงการเดินทางแล้วพราง ให้คิดถึงบทเพลงหนึ่งของ “วงกัมปะนี” เพลงนั้นมีชื่อว่า “นักเดินทาง” เป็นเพลงที่ผมชอบมาก ท่อนหนึ่งในเพลงร้องไว้ว่า “จากทางไกลที่ได้เดินมาสู่เวลาที่เดินไป ไม่มีหนทางใดที่จะนำวันนั้นหวนคืนมา เก็บความจริงในการค้นหาเป็นบันทึกล้ำค่าและยิ่งใหญ่ เขียนเรื่องราวเอาไว้ในใจตลอดเวลา “ การเดินทางเป็นการบันทึกความจริงผ่านร้อยเท้า(รอยล้อ) ที่เราเคยเดินผ่านมันไป และเก็บเกี่ยวมันกลับมาเป็นประสบการณ์ ที่รอวันตกตะกอนมาให้เราได้ใช้และคิดถึงมันไม่ว่าจะร้ายดีอย่างไรก็ตาม ว่าครั้งหนึ่งเราเคยก้าวข้ามและผ่านมันมาไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือ น้ำตา สุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “อ่านหนังสือหมื่นเล่ม มิเท่าเดินทางพันลี้” อย่างไรเราก็มิอาจหนีการเดินทางได้พ้น วันสุดท้ายของการเดินทาง วันนั้นนั้นคือวันสุดท้ายของลมหายใจ เพราะการเดินทางของชีวิตจะจบลงเมื่อชีวิตเราจบไป นอกเรื่องมาซะไกล เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ เช้าที่ไม่สดใสของวันนี้เกิดเพราะความไม่สดชื่นของชีวิตผมเอง เพราะเมื่อคืนเล่นดื่มไปซะ 1 กลม กับ 4 ขวด(4 ขวดนี้กับช่างเล็กครับมันก็ดื่มด้วย) สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมฉันใด ผมย่อมเป็นไปตามกรรมฉันนั้น เมื่อรับปริมาณแอลกอฮอล์มามากจึงทำให้ระบบในร่างกายแปรผันไป เพราะเสียน้ำในร่างกายไปมาก เรียกกันง่ายๆว่า “โอเวอร์แฮงค์” นั่นแหละครับ ผมนัดกับเล็กไว้ 9 โมงเช้า แต่ผมตื่น 8 โมง 40 ตื่นมาพร้อมกับหัวที่หนักๆ และมึนๆ ยังไม่สำนึกครับยัง เปิดคอมเล่นเน็ตต่อครับ ทั้งๆที่จะ9โมงอยู่รอมร่อแล้ว เล่นซักพักด้วยอาการมึนๆ ได้โทรไปหาเล็ก แต่พี่ขวัญชัย(เพชรร้อยเอ็ด)รับสาย คุยกันนิดนึงว่าเล็กพร้อมแล้ว แต่ผมยังไม่พร้อมนี่เลยโอ้เอ้ต่อ และยังไม่สำนึก หลังจากที่วางสายกับพี่ขวัญ งานเข้าอีกมีปัญหาเล็กน้อยกับการจัดเวลาของที่ทำงาน พาลหงุดหงิด เลยนอนต่อ และยังไม่สำนึก จนเล็กโทรมาเร่งตอนเกือบ10โมง ผมบอกเล็กไปว่ามึงไปเหอะ แต่นอนไปอีกยังไม่ทันชั่วหมากแหลก(หมากลุงจิ๋ว) เกิดสำนึกเลยโทรไปบอกเล็กว่าเดี๋ยวกูตามไป เลยรีบไปเสร็จสรงทรงชำระพระวรกาย ของตัวเองที่หมักหมม มาแต่เมื่อคืนให้สิ้นเสร็จ แล้วรีบจรรี ตามไปด้วยความไวเท่านกเขาเหิน (ตรงนี้อย่าคิดลึกนะครับคำนี้เป็นคำโบราณใช้กันจริงๆครับ แต่เค้าใช้กับความสูง แต่ผมจะเอามาใช้กับความเร็วคงไม่ผิดนะครับ) ออกมาหน้าปากซอยบ้านรอรถ 2 แถวเพื่อไปบ้านเล็กเพราะผมเอา เวสป้าไว้บ้านเล็กกะว่าขากลับจะขี่กลับ วันนี้ดูเหมือนจะโชคดี รถ 2แถวจากที่เคยรอนานมาก จนเคยนึกว่ามันยังมีบริการประชาชนอยู่หรือป่าวว่ะ มันมาเร็วเป็นพิเศษ ในใจเลยคิดว่าคงทันเล็ก เพราะเล็กบอกว่าจะปั่นไปรับลุงจิ๋วที่หนองบัว เมื่อลงรถที่บ้านเล็กยังใจชื้นอยู่เห็น มิยาต้า (อ่านกันดีๆนะครับคำนี้ มิยาต้า ครับเป็นยี่ห้อจักรยานของญี่ปุ่นนะครับ ไม่ใช่ มิยาบิที่เป็นดาวโป๊ของญี่ปุ่น ถ้าเล็กมีมิยาบิผมคงยืมขี่ทุกวันแน่ๆครับ) มิยาบิ เอ้ย มิยาต้าคันที่ว่า เห็นเล็กบอกจะเอามาขี่วันนี้ ทีแรกเลยนึกว่าทัน ที่ไหนได้พอเดินไปถึงบ้านเล็ก แม่เล็กบอกว่า มันไปแล้วไปรับลุงจิ๋วจะขี่ไปด้วยกัน อ้าวเวรละซิ ผมพอตั้งสติได้ก็สตาร์ทเลย นำโรบินฮู้ด คู่บารมีออกว่า จับดูยางเห็นยังแข็งดีอยู่เลยรีบฮ้อตามออกมา หวังว่าคงทันที่บ้านลุงจิ๋ว ปั่นมาได้ซักช่วงแถวๆปากทางสามผาน ได้มีรถโตโยต้า กระบะ4ประตูคันหนึ่งแซงหน้าขึ้นไป และหยุดรถอย่างสงบ มีชายผู้หนึ่งเปิดประตูก้าวย่างออกมาอย่างสง่างาม เขาคนนั้นคือ ขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด นักร้องเพลงลูกทุ่งสายเลือคอีสานนั้นเอง อ๋อไม่ใช่ครับ พี่ขวัญของเรานั้นเอง เมื่อลงจากรถแล้วพี่ขวัญได้กล่าวถ้อยคำอันซึ้งใจผมอย่างยิ่ง ณ.เวลานั้น “เดี๋ยวพี่ไปส่ง” โอ้วววววพระเจ้าเหมือนเทพบุตรมาโปรด ผมไม่ตอบอะไรซักคำ ยกรถจักรยานขึ้นรถทันที ต่อให้พี่ขวัญจะบอกว่าล้อเล่นก็เหอะ ไม่สนใจอะไรแล้ว แฮ้งก็แฮ้งหิวก็หิว ยังต้องมาปั่นจักรยานทางไกลอีก เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยทั้งคนทั้งรถพี่ขวัญกับผมไปจุดแรกที่คิดว่าน่าจะทันคือบ้านลุงจิ๋ว และก็ผิดหวังลุงจิ๋วกับเล็กออกกันไปแล้ว ผมเลยโทรหาเล็กอีกรอบเมื่อได้พิกัดตามเส้นรุ้งแวงตะแคงหงายเป็นที่เรียบร้อย พี่ขวัญได้พาผมเข้าซอยโน้นออกซอยนี้จนผมเริ่มงงในชีวิต เพราะไม่เคยคุ้นกับทางซอยแถวท่าใหม่มากนัก พี่ขวัญยังสำทับอีกว่าไม่ต้องกลัวหลงพี่เด็กท่าใหม่ ยังไงไม่ทราบผมกับพี่ขวัญ เหมือนจะแซงหน้าเล็กกับลุงจิ๋วไปไกลแล้ว เลยต้องโทรหาพิกัดกันใหม่ จนมาเจอกันในถนนซอยแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปเลย ลุงจิ๋วก็พาเล็กปั่นมาตามทางซอยเช่นกัน ผมเลยถึงบางอ้อ คนท่าใหม่แท้ๆเค้าชอบซอย เอ้ยใช้เส้นทางในซอยนี่เอง ทั้งเด็กท่าใหม่และผู้ใหญ่ท่าใหม่นับเนื่องได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนท่าใหม่ เมื่อประสพพบเจอและทักทายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เริ่มปั่นกันต่อ โดยพี่ขวัญรีบแยกไปทำหน้าที่เช่นกัน ผมนึกภาพ
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  ท้าวยายม่อม Wed Mar 11, 2009 9:22 am

...ยายม่อมตามมาอ่านแล้ว...พอจบ ช่วยแถม ยาลม ยาดม ยาหม่อง ให้ด้วยได้ป่ะ..

ตาลายมากๆ... นะ นะ..........
Mad
ท้าวยายม่อม
ท้าวยายม่อม

จำนวนข้อความ : 203
Join date : 25/02/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Wed Mar 11, 2009 9:25 am

ขอโทษครับพี่ปู ระบบการจัดย่อหน้าไม่เป็นครับมือสมัครเล่นในการพิมพ์ ดัชนีนิ้วเดียว
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  ท้าวยายม่อม Wed Mar 11, 2009 9:36 am

มยุรธุช พิมพ์ว่า:ขอโทษครับพี่ปู ระบบการจัดย่อหน้าไม่เป็นครับมือสมัครเล่นในการพิมพ์ ดัชนีนิ้วเดียว

..ยอดเยี่ยมจริงๆท่านมยุรธุช...นิ้วเดียวพิมพ์ได้ขนาดเนี๊ย..อุตสาหะ มั่กๆ...นับถือ นับถือ...

...( ว่าแต่ว่า นิ้วเดียวจริงๆ เร๊อะ.....คิก คิก )
Embarassed
ท้าวยายม่อม
ท้าวยายม่อม

จำนวนข้อความ : 203
Join date : 25/02/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Wed Mar 11, 2009 9:41 am

10นิ้วครับ มาตรฐาน นิ้วมือนะครับ ถ้าเกินไปขาดไปเค้าเรียกว่าพิการครับ คิดอะไรอยู่เอ่ย
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  ท้าวยายม่อม Wed Mar 11, 2009 10:05 am

....อ๋อ......คิดการใหญ่ อยู่น่ะจ้ะ...........คิก คิก

...ว่าแล้วก้อ.....เจอหน้าพวกพี่ๆ ทั้งก๊วนในครั้งต่อไป ช่วยโชว์ด้วยนะ 10 นิ้ว จริงป่ะ....

























...( ......พี่ก็หมายถึงมือนั่นแหละ...........อิอิ ) affraid
ท้าวยายม่อม
ท้าวยายม่อม

จำนวนข้อความ : 203
Join date : 25/02/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Wed Mar 11, 2009 1:04 pm

ฟังละเสียวๆพิกลๆอยู่
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  ไอติมเย็น Thu Mar 12, 2009 11:20 am

พี่อ.เต้ ก็ไม่ใช่ย่อยเลยนะจ๊ะ
เก่งจิงๆเลย

ว่าแต่กระทิง มีสวนสมเด็จ ด้วยเหรอจ๊ะ
อยู่มาตั้งหลายปีไม่รู้เลยว่ามี 555+
ดีนะเนี่ยที่หนูได้มาอ่านสาส์นไม่งั้นคงไม่รู้แน่เลยจ้าาา
Very Happy
ไอติมเย็น
ไอติมเย็น

จำนวนข้อความ : 37
Join date : 06/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม  2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง Empty Re: สาส์นชมรมฉบับที่ 25 พฤภาคม 2551 โดยกระยอดินนรธา ทริปสวนสมเด็จ กระทิง

ตั้งหัวข้อ  มยุรธุช Thu Mar 12, 2009 6:48 pm

ไอติมเย็น พิมพ์ว่า:พี่อ.เต้ ก็ไม่ใช่ย่อยเลยนะจ๊ะ
เก่งจิงๆเลย

ว่าแต่กระทิง มีสวนสมเด็จ ด้วยเหรอจ๊ะ
อยู่มาตั้งหลายปีไม่รู้เลยว่ามี 555+
ดีนะเนี่ยที่หนูได้มาอ่านสาส์นไม่งั้นคงไม่รู้แน่เลยจ้าาา
Very Happy
เวงกรรมจริงๆ ไปอยู่ตรงไหนมาจ๊ะ
มยุรธุช
มยุรธุช

จำนวนข้อความ : 216
Join date : 05/03/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics
» สาส์นชมรมฉบับที่ 15 มีนาคม 2552 โดยกระยอดินนรธา ทริปงานทำบุญบ้านพี่ขวัญ
» สาส์นชมรมฉบับที่ 23 มีนาคม 2551 โดยประธานเล็ก ทริปลงหนังสืออีส
» สาส์นชมรมฉบับที่ 6 เมษายน 2551 โดยประธานเล็ก ทริปเสม็ดงาม
» สาส์นชมรมฉบับที่ 16 มีนาคม 2551 โดยประธานเล็ก ทริปคลองถม
» สาส์นชมรมฉบับที่ 9 มีนาคม 2551 โดยประธานเล็ก ทริปมัฆวาณ

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ